หญ้าไฟตะกาด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

หญ้าไฟตะกาด (ชื่อวิทยาศาสตร์ Eleusine indica) เป็นพืชล้มลุกอายุปีเดียว ลักษณะลำต้นตั้งตรง สูงประมาณ 20-40 ซม. มีลำต้นกลมและเป็นปล้อง มีใบออกมาจากโคนเป็นกลุ่ม ใบเป็นเส้นตรง ขอบใบเรียบ กว้างประมาณ 2-5 มม. ยาวประมาณ 10-20 ซม. ผลเป็นเมล็ดเล็ก ภายในมี 1 เมล็ด ดอกจะออกเป็นช่อที่ปลายยอด ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า หญ้าไฟตะกาดมีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญของมะเร็ง ช่วยลดน้ำตาลและไขมันในเลือด ป้องกันภาวะตับอักเสบไขมัน และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ แพทย์แผนไทยใช้หญ้าไฟตะกาดเข้ามาเป็นยาสมุนไพร โดยจะใช้ทั้งส่วนใบและรากประกอบตัวยา ตำรับยาหญ้าไฟตะกาดมีสรรพคุณช่วยขับปัสสาวะ กระจายลมและแก้อาการท้องอืด ช่วยล้างพิษและล้างสารพิษออกจากเลือด แก้ท้องเสีย อาการคันตามผิวหนัง และรักษาอาการกระเพาะอักเสบ (ข้อควรระวัง หญ้าไฟตะกาดอาจมีสารบางอย่างที่ไปขัดขวางความสามารถในการสังเคราะห์วิตามิน U ซึ่งเป็นสารที่ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ดังนั้นไม่ควรรับประทานในปริมาณสูงเมื่อเป็นแผลในกระเพาะอาหาร)# หญ้าไฟตะกาด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

สรุปประเด็นหลัก

หญ้าไฟตะกาด หรือ หญ้าทับทิม เป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยา มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคเรื้อรังอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์เป็นยาต้านการอักเสบ ช่วยลดอาการปวดและบวมได้อีกด้วย คนไทยในอดีตได้ใช้หญ้าไฟตะกาดในการรักษาโรคต่างๆ เช่น อาการท้องเสีย โรคริดสีดวงทวาร มีประจำเดือนมากเกินไป และโรคเบาหวาน ในปัจจุบัน มีการวิจัยจำนวนมากขึ้นที่ยืนยันถึงประโยชน์ของหญ้าไฟตะกาด

บทนำ

หญ้าไฟตะกาด หรือ หญ้าทับทิม เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Ageratum conyzoides L. พืชชนิดนี้เป็นพืชจำพวกดอกไม้ สรรพคุณทางยา และมักปลูกในสวนและแปลงดอกไม้ พบได้ทั่วไปในประเทศไทย และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หญ้าไฟตะกาดเป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศเขตร้อนและกึ่งเขตร้อน จึงพบได้ทั้งในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ของประเทศไทย

ประโยชน์ของหญ้าไฟตะกาด

หญ้าไฟตะกาดมีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย โดยมีรายงานการวิจัยเชิงคลินิกและการทดลองในห้องปฏิบัติการมากมายที่แสดงให้เห็นว่าหญ้าไฟตะกาดมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา ประโยชน์ของหญ้าไฟตะกาดที่ได้รับการยืนยันแล้ว มีดังนี้

ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

หญ้าไฟตะกาดมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าสารสกัดจากหญ้าไฟตะกาดสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมได้

ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

สารสกัดจากหญ้าไฟตะกาดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคหัวใจ งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าการรับประทานสารสกัดจากหญ้าไฟตะกาดเป็นเวลา 8 สัปดาห์สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LDL (คอเลสเตอรอลตัวร้าย) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL (คอเลสเตอรอลตัวดี) ได้

ช่วยลดอาการปวดและบวม

สารสกัดจากหญ้าไฟตะกาดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จึงช่วยลดอาการปวดและบวมได้ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าการใช้ครีมที่สกัดจากหญ้าไฟตะกาดสามารถช่วยลดอาการปวดและบวมในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้

ช่วยรักษาโรคผิวหนัง

หญ้าไฟตะกาดมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา จึงสามารถใช้รักษาโรคผิวหนังต่างๆ ได้ เช่น กลาก เกลื้อน และกลากน้ำนม

ช่วยรักษาโรคเบาหวาน

หญ้าไฟตะกาดมีสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงอาจช่วยรักษาโรคเบาหวานได้ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าการรับประทานสารสกัดจากหญ้าไฟตะกาดเป็นเวลา 12 สัปดาห์สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

สรุป

หญ้าไฟตะกาด เป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาที่หลากหลาย และมีการศึกษาและวิจัยจำนวนมากที่ยืนยันถึงประโยชน์ของหญ้าไฟตะกาดในการรักษาและป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้หญ้าไฟตะกาด เนื่องจากอาจมีผลข้างเคียงในบางคนได้

คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

  • หญ้าไฟตะกาด
  • หญ้าทับทิม
  • ประโยชน์ของหญ้าไฟตะกาด
  • สรรพคุณของหญ้าไฟตะกาด
  • งานวิจัยหญ้าไฟตะกาด

15 thoughts on “หญ้าไฟตะกาด ประโยชน์ดีๆ สรรพคุณเด่นๆ และข้อมูลงานวิจัย

  1. นักปราชญ์ says:

    หญ้าไฟตะกาดเป็นพืชที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์

  2. นักวิทย์ says:

    งานวิจัยพบว่า หญ้าไฟตะกาดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ

  3. สายลม says:

    หญ้าไฟตะกาด เนี่ยห่วยแตกมาก ที่บ้านปลูกทิ้งๆ ขว้างๆ ไว้เต็มไปหมด

  4. นักรบ says:

    หญ้าไฟตะกาดเนี่ยไม่เห็นดีเลย งั้นผมไปใช้หญ้าอื่นดีกว่า

Comments are closed.